เมืองโมร็อกโกมีการขุดน้ำขึ้นมาใช้โดยการทำระบบชลประทานใต้ดินจนทำให้โมร็อกโกตอนใต้มีน้ำกินน้ำใช้กันอย่างทั่วถึงและกว้างขวาง ทำให้มีพืชพันธุ์ต่างๆ ขึ้นตามรอบแหล่งน้ำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นต้นปาล์มอินทผาลัม ต้นมะกอก และผักผลไม้บ้างชนิด โดยเฉพาะพืชตระกูลปาล์มอย่าง อินทผาลัม (Date palm) เป็นพืชที่ทนกับสภาพอากาศร้อนได้เป็นอย่างดี บากกับสภาพอากาศแห้งแล้งที่มีแต่ทะเลทรายทำให้พืชชนิดนี้นิยมปลูกกันมาก ว่ากันว่าในประวัติมีชาวอาหรับที่ได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 7 และนำ ปาล์มที่มีผลอินทผาลัมเข้ามาใช้ในการเพาะปลูกอีกด้วย จึงทำให้ ต้นปาล์มอินทผาลัมดังกล่าวเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองโมร็อกโกก็ว่าได้ เพราะทางศาสนาต้นปาล์มถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ต่อศาสนาอิสลาม
ต้นปาล์มอินทผาลัมจะสามารถให้ผลเก็บเกี่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละครั้ง ซึ่งทานได้ง่ายทั้งแบบดิบและแบบสุข หรือถนอมอาหารโดยการนำผลสุกมาตากแดด(ตากแห้ง) เพื่อเก็บไว้ทานได้นานหลายปี อินทผาลัม ให้รสชาติที่หวานฉ่ำ และยังมีคุณค่าทางอาหารสูง มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายหลากหลายชนิด ซึ่งโมร็อกโกมีการส่งออกของผลอินทผาลัม 2 แสนตันต่อปีโดยประมาณ
มาถึงต้นอาร์กัน (Argan Tree) ที่มีความสำคัญอยู่ไม่น้อย
เพราะต้นอาร์เป็นพืชที่ดึงดูดฝูงแพะเป็นจำนวนมากให้มารวมตัวกันเพื่อปืนป่ายเก็บกินผลและใบของต้นอาร์ ซึ่งลักษณะของผลต้นอาร์จะมีความคล้ายกับลูกมะกอก มีกลิ่นหอม ซึ่งจะให้ผลและเมล็ด เก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือน มิถุนายน – กรกฎาคม ในปัจจุบันโมร็อกโกจะมีป่าต้นอาร์ประมาณ 8,280 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นเขตที่ องค์การยูเนสโก ได้กำหนดให้เป็น เขตอนุรักษ์ทางชีววิทยา ต้นอาร์สามารถนำไปสกัดเป็นน้ำมันอาร์กันได้ และยังสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องปรุงสำหรับอาหาร และ ยา โดยเฉพาะอาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณเป็นต้น